รีวิว Blogger's Bootcamp by CP ALL ไหนว่าคีย์บอร์ดจะลุกเป็นไฟไงเพ่?! | Kaosuaylunla Diary

รีวิว Blogger's Bootcamp by CP ALL ไหนว่าคีย์บอร์ดจะลุกเป็นไฟไงเพ่?!

บทความนี้เป็นเพียง Day 1 เพราะฉะนั้นหลังจบคอร์สในอีกหลาย Days เราอาจจะคิดอีกแบบก็ได้นะ
นี่เป็นรีวิว "ประสบการณ์" วันแรก ที่ได้จากการติดโผ (แบบร่อแร่เกือบจะหลุดโผ...) Blogger's Bootcamp by CP ALL ที่มีวลีโฆษณาชวนเชื่อว่า "แล้วคีย์บอร์ดคุณจะลุกเป็นไฟ!" โอ๊ยย จะปลุกใจอะไรเบอร์น้านนน

Day 1 : 22nd April 2017 เวลา 12.00น.

สถานที่อบรมอยู่ในย่าน W-District สถานี BTS พระโขนง อันนี้ไม่พลาด แต่ตอนแรกคิดว่าพลาดเรื่องเวลา ในหมายนัดวันแรกนัดเที่ยงตรง แต่อะไรดลใจให้จำเป็นเที่ยงครึ่งก็ไม่ทราบได้ เลยมาถึงเที่ยงครึ่งเป๊ะๆ ในใจคิดว่าสายมาก ตายแน่ อาจจะไม่มีที่นั่ง แต่อ้าวเห้ยผิดถนัด ยังมีที่ว่างอยู่บ้าง และคนเพิ่งทยอยๆมากัน อิชั้นแจ๊คพอตตั้งแต่การเลือกที่นั่งเลยจย้า ซ้ายมือเป็นแอดมินเพจเสพสากล ขวามือเป็นพี่ทอฟฟี่ แบรดชอว์ คนนึงมีลูกเพจหลักแสน ส่วนอีกคนน่าจะมีคนได้อ่านบทความเค้าหลักล้านเพราะเป็นคอลลัมน์ฮิตใน The Momentum อีกหลายๆคนก็ดังมากๆสักทาง (ในฐานะนักเขียน, ครู, วิทยากร ฯลฯ) มีความรู้สึกตัวลีบแบนเป็นพยาธิใบไม้เบาๆ "ชั้นมาทำอะไรตรงนี้ย์ย์ย์!!" เพลงบ้านทรายทองลอยมา จินตนาการว่าเราอาจจะโดนอัดให้เป็นชนชั้นปลายแถว อี๋ นังบล็อกเกอร์โนเนม อะไรงี้ จิตสำนึกนิสัยไม่ดี! จริงๆแล้วกลายเป็นว่าหลังจากผ่านช่วงแนะนำตัวไปครึ่งทาง... หลายๆคนในที่นั้นบางคนไม่มีบล็อก...!! นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการทำบล็อกของคนเหล่านั้นจริงๆด้วย เฮ้ยย มันเป็นที่รวมตัวของคนที่มีใจรักในการทำคอนเท้นท์หลากหลายรูปแบบ และทุกคนจะได้มาเดบิวต์การเป็น Blogger ในเวิร์คชอปนี้แน่นอนเลยอ้ะ!! //ยืนปรบมือในใจ

ผ่านการเสวนากับคุณเบ๊น และคุณวิชัย Salmon House ไป... เราก็เริ่มเปลี่ยนความคิด...
หาอ่านสิ่งที่สองคนนั้นพูดได้ที่บล็อกอื่น แต่ไม่ใช่บล็อกเรา (ตึ่ง โป๊ะ!) ไม่ใช่ว่าสิ่งที่พูดมันไม่น่าสนใจนะ มันน่าสนใจมากสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนทางด้านนี้ แต่สำหรับเรารู้สึกเหมือนได้กลับไปเรียนนิเทศอีกครั้ง คือเราไม่ใช่นักศึกษาวัยใสที่คล้อยตาม speaker อีกต่อไปแล้วไง เราเริ่มเป็นคนที่ "ตั้งคำถาม" กับ session นี้ว่ามันตอบโจทย์การเป็น Blogger ได้ยังไง? และในขั้นไหน?

ขั้นตอนที่ทั้งคู่พูดถึง มันก้าวกระโดดสเตปแรกของการทำบล็อกไปไกลมาก ไกลถึงขั้นรับโจทย์จากลูกค้ามาเพื่อหาไอเดียและตีความ แต่เดี๋ยวก่อนแก คือคนที่ทำบล็อก ใช่ว่าทุกคนจะมีลูกค้า ใช่ว่าทุกคนจะต้องใส่อินเนอร์ครีเอทีฟในทุกบทความ คือนี่มันข้ามไปสเตปของการ
"ผลิตงานให้ลูกค้ายังไงกับโจทย์ที่มี"
นั่งนิ่งฟังจนจบ แล้วก็ไม่มีอะไรจะถาม เพราะกระบวนการพวกนี้มันปลายทางของคนที่ต้องการ convert งานตัวเองให้กลายเป็นรายได้ ณ จุดนี้บล็อกของเรามันไม่ได้ทำมาตอบโจทย์ลูกค้าเพื่อสร้างรายได้ตรงๆ มันคือการสนองนี้ดตัวเองแล้วพอทำรายได้ให้ "ได้บ้าง" มากกว่า สิ่งที่เรามองว่าเป็นประโยชน์มากๆเราชอบที่เค้าพูดถึง "ความเป็นมนุษย์" ว่างานสื่อโฆษณาทุกวันนี้ (หรือบทความของเราเองนี่แหละ) มันขาดสัมผัสของการเป็นมนุษย์ เราเคยคิดอยากเขียนบล็อกเหมือนคุยให้เพื่อนฟัง แต่พอจุดนึงได้ของฟรีมาเยอะๆมันก็กลายเป็นการทำงานเหมือนอาหารตามสั่ง (ส่งอะไรมาก็เขียนอันนั้น) งานเราก็คงเหมือนป้าตามสั่งแถวรัชดาที่แม้แต่ไข่เจียวก็ยังไม่อร่อยนี่แหละ (ฮืออ)
"หาความเป็นมนุษย์" ในเรื่องที่จะหยิบขึ้นมาเขียนให้เจอ
นี่เป็นสิ่งที่เราได้จาก session นี้ คือแทนที่เราจะเขียนอธิบายรูป รส กลิ่น สัมผัส และข้อมูลตามเอกสารที่แบรนด์แนบๆมาเนี่ย เราควรจะนึกถึงความเป็นมนุษย์มากกว่านี้ ตั้งคำถามนิดนึงว่าสิ่งที่กำลังจะเขียน เรามีความเป็นมนุษย์ในนั้นมั๊ย? นอกจากสิ่งที่แบรนด์หรือลูกค้าเค้าทำออกมาให้ เช่น มนุษย์ทั่วๆไปรู้แค่ว่า SPF ยิ่งสูงยิ่งดี แต่มีกี่คนวะที่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร? ไอ้ SPF50 PA+++ ทำไมไม่เล่าด้วยล่ะว่ามันกันแดดได้กี่เท่า วัดยังไง เอาแบบคนไม่มีความรู้อ่านแล้ว "ได้ความรู้" และสนุกไปกับภาษาที่เราเขียน ดีกว่าการไปนั่งปั้นบทความภาษาสวยๆ อ่านแล้วมีความกวี มีหลักการ มีแหล่งอ้างอิง แต่พออ่านจบแล้วอุทานว่า "ว้อทททททททท" (WHAT?!) นี่ชั้นเสียเวลากับอะไรลงป๊ายย?! คือบางอย่างพอมันใช้การสื่อสารที่ยากไป อ่านไม่เข้าใจก็กดปิด นอกจากความรู้ไม่ซึม ยังรู้สึกว่าการอ่านแม่งเป็นการเสียเวลาไปอีกค่ะคุณ คนเขียนไม่แฮปปี้ คนอ่านก็ไม่ปลื้ม ฮืออ..!!

เมื่อตอนเบรกลืมเล่า ก็มีขนมจากคัดสรร(ที่เป็นเบเกอรี่ของซีพีออลแน่นอน) และชาโออิชิที่เราชอบมาก ใครจะหาว่ายี้ชาปลอมเราก็ไม่แคร์ เพราะมันอร่อย... ประเด็นคือช่วงเบรกนั่งเม้ามอยกับคนที่มาร่วมเวิคชอปก็พบว่า... มีคนรู้จักเราด้วยว่ะแกร๊!!! เค้าบอกว่าเค้าเคยเสนอชื่อเราให้ลูกค้า แต่ลูกค้าไม่เอาเพราะลูกค้าดูจากยอดไลค์เรา มันน้อยเกินไป เออ ใช่ซี๊ (วิ่งหนีไปร้องไห้ใส่โอ่ง...)

พิมไว้ให้รู้ตรงนี้เลยนะคะ!!!! ถึงชั้นจะยอดคนติดตามน้อย แต่ชั้นมีคอนเนกชั่นมหาศาลอยู่ในมือค่ะ!!!! ชั้นไม่ได้บริหารคนติดตาม แต่ชั้นบริหารพลังของคอนเนกชั่นรอบตัว รู้ไว้ซะด้วย ไม่จ้างก็ไม่ง้อออออ (งอนมาก จะไม่รับงานจ้างแม่งแล้ว 5555)

ต่อมากับ Session เสวนากับคุณบี เจ้าของเพจ HR The Next Gen
เราก็ได้เห็นบทความของเค้าอยู่เรื่อยๆ แต่คุณบีก็ไม่ได้พูดถึงการเป็นบล็อกเกอร์สักเท่าไหร่ค่ะ กลายเป็นการปั้นแบรนด์ซะมากกว่า มีเทคนิคการทำคอนเท้นอย่างสม่ำเสมอ และการวางแผน กับการบริหารจัดการระบบความคิดของตัวเอง คือถ้ามีเป้าหมายชัด มีระบบชัด อะไรๆมันก็จะง่าย...

แต่จะหาตัวเองเจอยังไง ก็เป็นการบ้านของทุกคน (อ้าวเห้ย =_=)

ตรงนี้คือเห้ย แบบ เห้ยยยยยยย!!!!

จากที่เราเคยผ่านเวิคชอปและค่ายอะไรหลายๆอย่างมา สิ่งนึงที่เรารู้สึกว่า Day1 มันขาด คือมันขาดการ "ลงมือทำ" ในวันนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้ทุกคนในห้องได้รู้ ว่า "อ๋อ แบบนี้นะคือขั้นตอนการค้นหาตัวเอง" หรือ "อ๋อ แบบนี้นะคือการเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้งานเขียนของเรา" นี่กลายเป็นว่ามานั่งฟังบุคคลที่มีพลังมากๆ แต่ไม่สามารถ execute หน้างานตรงนั้นออกมาให้มีประโยชน์กับตัวเองได้ถ้าเกิดว่าง่วงๆ นั่งฟังแบบผ่านๆเพราะมันยาว ยาวมากๆ เกือบ 5 ชั่วโมงรวดได้ โอ๊ยขุ่นพระ...

ตอนนี้เรายังอยู่ในกระบวนการตกผลึกสิ่งที่ได้จาก Blogger's Bootcamp by CP ALL ซึ่งถ้าจะให้เรียบเรียงใหม่ในความคิดเห็นส่วนตัวของเราล้วนๆ เราจะแนะนำคนอ่านที่อยากเป็นบล็อกเกอร์ทุกคนดังนี้ค่ะ:

1. หาสิ่งที่อยากเล่าให้เจอ : 

บล็อกเกอร์คือคนที่มี "บล็อก" ซึ่งปัจจุบันมีมากมายหลาย Platform แต่สำหรับเรา facebook, instagram, pantip และเว็บบอร์ดอื่นๆ "ไม่ใช่บล็อก" เราแอบผิดหวังเล็กๆที่ Blogger's Bootcamp by CP ALL ไม่ introduction หรือให้ความรู้ตรงนี้ ใช่ค่ะ ยุคสมัยเปลี่ยนไป จะมองว่าการเป็นบล็อกเกอร์เป็นที่ไหนก็ได้ มันก็ไม่ผิด แต่ก็ควรจะให้ความรู้กันบ้างว่า blogger คืออะไร ทำไมการมี blog มันถึงสำคัญกว่าแค่การมีเพจ ฮือ เราเสียใจ จบวันแรกไปก็ยังไม่มีใครรู้ว่าการขึ้นหน้าแรกในกูเกิ้ลหรือติด adsense หา affiliate รับตังผ่านยอดวิวมันเจ๋งพอๆกับการรับจ๊อบเขียนบทความจากลูกค้าเหมือนกันนะ แบบเขียนบล็อกให้คนอ่านเยอะๆก็ได้ตังสะสมตามยอดวิวไปตลอดไม่ต้องง้อแบรนด์อะไรงี้อะ เบะ T_T

2. เติม "ทักษะ" ให้ตัวเอง :

คนเรามันไม่มีใครเก่งไปทุกอย่างหรอกค่ะ อย่าไปเขินอายที่จะแสดงออกว่า "กูรู้แค่นี้" หรือ "กูทำได้แค่นี้" ลงมือทำไปเลย แล้วค่อยๆเก็บประสบการณ์ไปเลเวลอัพ เพราะถ้าเราเอาแต่คิดว่า เราเขียนไม่รู้เรื่อง พูดไม่เก่ง ถ่ายรูปไม่สวย ทำไปใครจะดู ทำไปเดี๋ยวก็เจอคนเข้ามาด่า ก็เลยไม่ทำ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำ? เมื่อไหร่จะได้พัฒนาตัวเอง? บล็อกมันเป็นพื้นที่อิสระสำหรับเรามากๆ ที่จะได้ลองอะไรไปเรื่อยๆ วันนึงเราอาจจะค้นพบสิ่งที่ชอบผ่านการบล็อกไปเรื่อยๆก็ได้นะ อย่าคิดมาก ลงมือทำ แล้วเติมทักษะให้ตัวเองซะ

3. จงชอบตัวเอง :

นี่ไม่ได้ค่าโฆษณาจากเพียวริขุนะ... แต่ขอให้ทำในสิ่งที่สบายใจ อย่าไปฝืนทำอะไรที่จะมานั่งเสียใจหรือบ่น "รู้งี้" ทีหลัง อะไรก็ตามที่อยากเล่า ที่อยากเขียน ถ้าเราสตรองกับมันมากพอ เราจะไม่สั่นคลอนต่อคำพูดของคนอื่นค่ะ มันมีคำพูดมากมายที่ทำร้ายเราได้ แต่ไม่มีคำพูดไหนตัดสินเราได้นอกจาก "คำพูดของตัวเอง" ถ้าเราสบายใจที่จะปรับปรุงก็ปรับ สบายใจที่จะดื้อ ก็จงดื้อต่อไป เมื่อไหร่ที่เราชอบตัวเอง จริงใจกับตัวเอง "รักในงานที่ตัวเองสร้าง" วันนั้นจะเป็นวันที่เรามีพลังก้าวต่อไป การเขียนบล็อกก็เช่นกัน 

สุดท้าย เหลือแค่ลงมือทำเท่านั้น มาถึงบรรทัดนี้เราว่าเราก็ได้เอาความรู้จาก Blogger's Bootcamp by CP ALL มาใช้ได้ค่อนข้างครบถ้วน ก็คงจะตัดพ้อถึงงานนี้ได้ไม่เต็มปาก ไหนว่าคีย์บอร์ดจะลุกเป็นไฟ? นี่ก็ไฟไหม้ปาเข้าไปหลายพันตัวอักษรแล้ววว!!!

ขอจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้ Day2 จะเป็นยังไง มาถามไถ่กันได้ผ่านแฟนเพจนะเธอ ขอบคุณทุกคนเช่นเคยที่หลงมาอ่าน ถ้าลงมาถึงบรรทัดนี้เราดีใจด้วย คุณได้เลยโควต้าอ่านหนังสือเฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศไปเรียบร้อยแล้ว ขอให้ทุกคนโชคดี พบกันใหม่ บ๊ายบายยย ^^

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

อ่านจบแล้วอยากฝากคอมเม้นอะไรบ้าง?