รีวิววันนี้ขอแนะนำสกินแคร์แบรนด์ KENE(คีน)เป็นแบรนด์นึงที่พอได้ทำความรู้จักก็รู้สึกว่าเค้ามีคอนเซปต์ที่น่าสนใจ แนวคิดของแบรนด์ "คีน" คือ skin care ที่มากกว่า skin care แต่ทำหน้าที่เป็น skin solution ด้วย หมายความว่าไม่ใช่แค่ดูแลผิว แต่จริงจังในการช่วยจัดการปัญหาผิวแต่ละด้าน คือหวังผลการจัดการปัญหาผิวจริงๆ โดยเค้าเน้นถึงการใช้ส่วนผสมที่อิงถึงงานวิจัยทางด้านผิวหนัง ว่าส่วนผสมนั้นต้องพิสูจน์แล้วจริงๆ ว่ามันช่วยแก้ปัญหาผิวแต่ละอย่างได้ มีหลักฐานกับผลงานวิจัยยืนยัน พร้อมใส่รายละเอียดแสดงความเข้มข้นส่วนผสมที่ใช้แต่ละตัวชัดเจน ผู้บริโภคอย่างเราจึงสามารถคาดหวังผลลัพธ์ได้ว่าใช้แล้วผิวจะเป็นยังไง
นอกจากเน้นการแก้ไข จัดการปัญหาผิวจริงจัง และเลือกใส่ส่วนผสมที่มั่นใจในประสิทธิภาพได้จริง KENE เค้าจะเน้นเรื่องนวัตกรรมด้านผิวหนังใหม่ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าได้สิ่งที่ดีจริงๆ แล้วเน้นเรื่องของความอ่อนโยนด้วยการเลือกส่วนผสมที่ปราศจากน้ำหอม พาราเบน และแอลกอฮอล์
วันนี้ขอเลือกหยิบผลิตภัณฑ์ 1 ตัว เป็นเซรั่มวิตามินซีผสานเปปไทด์เข้มข้น KENE BRIGHTAGE C LINE & RADIANCE CORRECTOR มารีวิวให้ชมกันค่ะ ^^
ข้อมูลผลิตภัณฑ์:
KENE Brightage C Line & Radiance Corrector เซรั่ม ขนาด 30 กรัม ราคา 1,190 บาท
เลขที่ใบรับแจ้ง 10-1-6010005528
สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ได้ที่: kene.co.th (มีโปรโมชั่นส่งฟรี พิเศษ 1 แถม 1 อยู่ด้วยนะ)
ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ถ้าอธิบายง่ายๆมันก็เป็นเซรั่มวิตามินซีตัวนึงนั่นแหละ เนื่องจากเค้าใช้วิตามินซีเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้นถึง 12% แต่ถ้าจะพูดว่ามันเป็นเซรั่มวิตามินซีเฉยๆก็อาจจะไม่ถูกนัก เพราะเค้าใส่ส่วนผสมอื่นๆอื่นมาค่อนข้างแน่น ทำให้ประโยชน์ที่ได้รับมันได้มาจากส่วนผสมอื่นด้วย อาจจะเหนือกว่าเซรั่มวิตามินซีปกติหน่อย เดี๋ยวจะค่อยๆมาเล่าให้ฟังกัน
อย่างที่เล่าว่า concept ของแบรนด์เค้าคือการจัดการปัญหาผิว สำหรับเซรั่มตัวนี้เค้าทำออกมาเพื่อจัดการสองปัญหาหลักๆคือ ปัญหาริ้วรอยความไม่เรียบเนียนของผิว และปัญหาความหมองคล้ำจุดด่างดำสีผิวไม่สม่ำเสมอ คือจัดการสองปัญหาไปพร้อมๆกัน เพราะคนที่อายุมากขึ้นก็มักจะเจอทั้งสองปัญหา เลยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาผิวสองด้านไปพร้อมๆกัน
สำหรับริ้วรอย หลายๆคนก็คงทราบกันดีว่าเกิดจากการที่คอลลาเจนลดลง เราเลยต้องหาผลิตภัณฑ์เข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ๆให้เข้ามาทดแทนทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ส่วนผสมนึงที่มีงานวิจัยรองรับด้านนี้เยอะ และหวังผลได้คงไม่พ้น VitaminC ซึ่งข้อดีของ VitaminC คือมันทั้งกระตุ้นคอลลาเจน และลดจุดด่างดำ เพิ่มความกระจ่างใสได้ด้วย เป็นสาเหตุให้ทางแบรนด์เลือกใช้ VitaminC เป็นส่วนผสมหลักในการจัดการริ้วรอย ผิวไม่เรียบเนียนไปพร้อมๆกับความหมองคล้ำนั่นเองค่ะ
โดย KENE เลือกใช้ 2 อนุพันธ์วิตามินซีคืออนุพันธ์ที่เป็น Ester ที่ละลายในน้ำมันได้หรือ ascorbyl tetraisopalmitate 10% ตัวนี้จะเด่นตรงที่ซึมเข้าผิวได้ล้ำลึก และอนุพันธ์ที่เป็น Ethylated หรือ ethyl ascorbic acid 2% ตัวนี้จะเป็นอนุพันธ์ตัวใหม่ที่เสถียรและประสิทธิภาพดี สองตัวรวม 13% ข้อดีของอนุพันธ์สองแบบนี้คือประสิทธิภาพมันมากกว่าพวกอนุพันธ์แบบเดิมๆ และถ้าเทียบกับพวกกลุ่มวิตามินซีแบบ ascorbic acid แบบเดิมๆจริงอยู่ว่าตัวแบบดั้งเดิมผลลัพธ์ก็ดีเห็นไว แต่จะระคายเคือง แสบ และไวต่อการสลายตัวเมื่อถูกแสงแดดทำให้อายุผลิตภัณฑ์ใช้ได้ผลดีไม่นาน และคนผิวบอบบางใช้ไม่ได้
ทางแบรนด์เลยเลือกใช้สองอนุพันธ์นี้คู่กันเสริมประสิทธิภาพกันค่ะ
แต่อย่างที่บอกไปว่าความต่างของ BrightageC กับ VitaminC Serum ทั่วไปคือเค้าเพิ่มส่วนผสมอื่นๆเข้ามาเสริมเยอะ
ตัวแรกคือ 5% Double peptide หลายๆคนคงเคยได้ยินเรื่อง peptide มันเหมือนตัวส่งสัญญาณไปบอกให้ผิวสร้างคอลลาเจน และพวกโครงสร้างค้ำจุนผิวต่างๆมันเลยเหมือนตัวเสริม VitaminC ช่วยในเรื่องริ้วรอย ผิวเรียบเนียน ความเต่งตึง และผิวละเอียดขึ้น
อีกตัวนึงที่เป็นตัวสำคัญเลยที่มาเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลดจุดด่างดำ เพิ่มความกระจ่างใสคือ ตัว tyrostat ซึ่งเป็น Whitening ตัวนึงที่ดีมากค่ะ ทำให้ผลลัพธ์การจัดการจุดด่างดำจะดียิ่งขึ้น
ส่วนผสมอีกสองตัวที่อยากยกมาพูด เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันคนเราด้วยเนี่ยแหละ คือหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินว่า กินแป้งเยอะๆแล้วแก่ไวใช่ไหมคะ จริงๆแล้วทาง anti-aging มันก็มีกลไกที่เกี่ยวกับคำพูดนี้นะคะ เวลากินแป้งย่อยไปกลายเป็นน้ำตาลก่อนดูดซึมเข้าไปให้สารอาหารในร่างกายเรา เค้าบอกว่าพวกน้ำตาลในร่างกายเนี่ยมันจะไปจับกับพวกโปรตีนเช่นคอลลาเจน ทำให้โปรตีนนั้นโครงสร้างเสียไป เกิดความแก่ของผิว สะสมขึ้นเรื่อยๆ คอลลาเจนเสียสภาพ มีสีเหลืองขึ้น เปราะบางขึ้น วิธีแก้ง่ายๆสำหรับคนที่ไม่อยากแก่ไวคือกินน้ำตาลให้น้อยลง
กับอีกอย่างคือมันมีส่วนผสมบางชนิดที่เค้าคิดค้นขึ้นมาแล้วพบว่ามันช่วยยับยั้งกระบวนการที่น้ำตาลไปจับกับโปรตีนเช่นคอลลาเจน แล้วทำให้คอลลาเจนเสียภาพ เราเรียกส่วนผสมกลุ่มนี้ว่า antiglycation ค่ะ ส่วนผสมกลุ่มนี้เหมือนเสริมอีกกลไกให้ VitaminC serum มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้มีพวกส่วนผสมที่ช่วยเสริมชั้นผิวให้ผิวแข็งแรง พอผิวแข็งแรงก็จะทำให้โครงสร้างผิวเรียบเนียนขึ้น และเหมือนลูกโป่งที่ผิวไม่รั่ว คือกักเก็บน้ำได้ ผิวก็จะดูเต่งๆ เนียนๆ นั่นเอง ซึ่งก็ทำให้ผิวโดยรวมดูเนียนใสขึ้นค่ะ ส่วนผสมกลุ่มนี้ก็พวก ceramide fatty acid ต่างๆ โดยทางแบรนด์เค้าเรียกรวมๆกันว่า Barrier Repair complex และเค้าใช้ในเรื่องของ multilamellar technology ที่ทำให้ตัวที่เข้าไปเสริมชั้นผิวมีโครงสร้างเหมือนไขมันตามธรรมชาติมากขึ้น ก็จะเสริมชั้นผิวให้มีสุขภาพดีได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนผสมอื่นๆที่ใส่เข้ามาเสริมเช่นกลุ่ม Anti-oxidant มี Green tea, Grape seed, Blackberry, Vitamin E, Resveratrol ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ สาเหตุของความชราแห่งวัย และช่วยปกป้องผิวให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ โดยยับยั้งการเสื่อมสลายของคอลลาเจน อีกทั้งยังป้องกันความเสียหายของผิวที่เกิดจากรังสี UV
Nano hyaluronic acid ไฮยารูโลนิกแอซิด ที่มี ขนาดเล็กพิเศษ คือโดยปกติตัว Hya มันจะเหมือนอนุภาคที่ดูดซับน้ำ พอมันเข้าไปในผิวจะทำให้ผิวดูอิ่มๆ แต่พอใช้แบบ nano ทำให้มันซึมซาบสู่ผิวได้ลึกยิ่งกว่า ช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นสู่ผิวได้ลึกยิ่งขึ้น เลยให้ผลประมาณว่าผิวดูอิ่มน้ำลึกขึ้น
วิธีใช้
หลังทำความสะอาดผิวหน้า ทาให้ทั่วใบหน้าใช้ได้ทั้งในเวลาเช้าและก่อนนอน เป็นขั้นตอนแรกก่อนขั้นตอนการทาครีมบำรุงทั่วไปที่เรามีอยู่เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบำรุงผิวปกติให้ดียิ่งขึ้นแพคเกจจิ้งตัวหลอดออกแบบมาดีมาก พกพาสะดวก ใช้งานง่าย เป็นพลาสติกทึบผิวด้านมีพิมพ์ลอทที่ผลิต วันที่ผลิต กับวันหมดอายุตรงปลายหลอดชัดเจน เมื่อเปิดแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน
ปลายหลอดเล็กทำให้คุมเนื้อเซรั่มที่บีบออกมาได้ดี เนื้อเซรั่มมีสีขาวขุ่นเมื่อทาลงไปบนผิวจะเป็นสีใสๆโปร่งแสง ทาเสร็จแล้วฟินิชจะไม่เหมือนมีอะไรมาเคลือบบนผิว มอบความชุ่มชื้นในทันที ไม่มีกลิ่นระคายจมูกแต่อย่างใด ส่วนตัวเป็นคนผิวผสม ลองแล้วคิดว่าเหมาะกับผิวทุกแบบไม่ว่าจะแห้ง ผสม หรือว่าผิวมัน เพราะมันซึมเข้าผิวค่อนข้างดี แม้ในบริเวณที่มีแผลเล็กๆ (จากแผลสิวหรือผิวแพ้ผด) ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแสบเลยนะ ความประทับใจแรกให้ผ่านสุดๆ
ผลลัพธ์หลังการใช้ผลิตภัณฑ์
(ผลลัพธ์ที่ได้นี้เป็นผลลัพธ์ส่วนบุคคล สีภาพเปรียบเทียบนี้ถ่ายภายใต้แสงธรรมชาติช่วงเช้าของแต่ละวัน)
ดูเผินๆจะไม่ค่อยเห็นเรื่องรอยด่างดำจางลงเท่าไหร่นัก แต่มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่เนื้อผิวดูสีสม่ำเสมอหน้าอิ่ม แลดูสว่างขึ้น แรกๆก่อนใช้จะเห็นชัดมากว่ารูขุมขนกว้าง ผิวไม่ละเอียด ตรงที่วงไว้จะมีร่องรอยหลุมสิวตื้นๆอยู่ ซึ่งพอเวลาผ่านไปครบ 20 วัน รอยนั้นฟูขึ้นจนเรียบเนียนและแทบไม่เหลือรอยดำเลยค่ะ สภาพผิวโดยรวมฟูขึ้น ทำให้ผิวดูละเอียดขึ้นด้วย โดยผิวจะมีโครงสร้างชั้นที่เสมือนเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ แต่ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น แสงแดด สิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ อาการระคายเคือง หรือ การดูแลผิวอย่างผิดวิธีด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับตัวเองอาจทำให้เกิดความเสียหาย ผลิตภัณฑ์นี้ก็ถือว่าเป็นอีก 1 ตัวเลือกที่เหมาะกับคนมีปัญหาเรื่องริ้วรอยกับความหมองคล้ำค่ะ
ระยะเวลาทดสอบผลิตภัณฑ์คือ 20 วันแต่จุดด่างดำ ตามหลักการก็ต้องรอถึง 28 วันตามวงจรของผิวถึงจะเห็นชัดเจนว่ามันจางลงค่ะ พวกที่จางเร็วๆอาจจะเป็นกลุ่มที่ผลัดเซลล์ผิวอาจจะเห็นเร็วกว่านี้ แต่ผิวจะเสี่ยงเกิดความระคายเคืองได้ง่ายกว่า
ด้วยความที่เนื้อเซรั่มไม่ได้เหนียว เกลี่ยง่าย การใช้ในแต่ละครั้งไม่ต้องบีบเยอะก็ทาได้ทั่วทั้งหน้า หลอดนึงใช้ได้เกินเดือนแน่นอน ถือว่าสมราคานะเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและความอ่อนโยนของเค้า ที่ตัวเราตอบตกลงรับรีวิวผลิตภัณฑ์นี้ในช่วงตั้งครรภ์อยู่ก็เพราะค่อนข้างเชื่อถือในตัวแบรนด์และบริษัทที่ผลิตอยู่พอสมควรค่ะ รายละเอียดชัดเจน มีส่วนผสมให้เช็คบนเว็บไซต์ครบถ้วน แต่ในการลองสกินแคร์ใหม่ๆควรทดสอบที่บริเวณท้องแขนหรือกกหูก่อนอย่างน้อย 24 ชม. และสาวๆไม่ควรเปลี่ยนสกินแคร์ช่วงมีประจำเดือนน้า มีโอกาสที่ผลลัพธ์ของสกินแคร์จะแปรผันกับฮอร์โมนอยู่สูงค่ะ
ส่วนตัวค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่เป็นไปอย่างช้าๆ ผิวจะรู้สึกแข็งแรงกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เร่งการผลัดสีผิว อันนั้นจะระคายเคืองง่าย แต่สำหรับ KENE Brightage C ไม่ทำให้รู้สึกแบบนั้นเลย แถมยังมีส่วนให้ความชุ่มชื้นกำลังดีไม่มากไม่น้อยจนเกินไปด้วย แต่ยังไงผลลัพธ์นี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนและการตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์นะคะสำหรับใครที่มองหาผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย แนะนำตัวนี้เป็นตัวที่น่าสนใจตัวนึงเพราะใช้ Vitamin C เป็นส่วนผสมหลักสามารถใช้ควบคู่กับสกินแคร์ปกติของเราได้เลยไม่ต้องซื้อใหม่ยกเซท แถมตัว VitaminC ก็รู้กันดีอยู่ว่าช่วยด้านริ้วรอยได้ และพอผสานส่วนผสมอื่นๆเช่นพวก peptide และส่วนผสมอื่นๆที่กล่าวไปทำให้ BrightageC ตัวนี้มีข้อดีเหนือ VitaminC serum ทั่วๆไปอยู่ไม่น้อย ผลลัพธ์จะออกแนวได้ผิวใสด้วยเนียนด้วย ยังไงใครสนใจก็ลองเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มที่เว็บไซต์กันดูนะคะ
ใครได้ลองแล้วเป็นยังไงแวะมาคอมเม้นเล่าสู่กันฟังได้เลย หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆที่มองหาสกินแคร์ที่ตอบโจทย์เรื่องริ้วรอยกับฟื้นฟูผิวหมองคล้ำที่ไม่ทำร้ายผิวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย วันนี้ลาไปก่อน บ๊ายบายค่า ^^
Disclaimer: This is a paid (Ads) sponsored post.
0 comments:
แสดงความคิดเห็น
อ่านจบแล้วอยากฝากคอมเม้นอะไรบ้าง?