สิ่งที่คิดได้หลังดู The Iron Giant (1999) | Kaosuaylunla Diary

สิ่งที่คิดได้หลังดู The Iron Giant (1999)

ถ้าคิดว่าชีวิตนี้มีแต่การ์ตูนค่าย Pixar, Disney ที่มีค่าพอให้ไปดู ก็อยากจะให้ไปหา The Iron Giant มาดูแล้วคิดใหม่นะยู๊ววว

นี่เป็นการ์ตูนเด็กที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยดูมา แล้วมันไม่ได้โลกสวยด้วย บริบทของการ์ตูนมีความเรียลสูงมาก ทั้งชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว, เด็กที่ไม่มีเพื่อนคบแต่เรียนดี หรือแม้กระทั่งการทำงานเอาหน้าของรัฐ ฯลฯ

เรื่องย่อ:

วันหนึ่งมีวัตถุลึกลับตกลงมาบนโลกมนุษย์ ปรากฎว่าเป็นหุ่นเหล็กยักษ์ใหญ่ที่เราไม่ทราบที่มา ไม่รู้จุดประสงค์ แต่ด้วยอุบัติเหตุทำให้มันเสียความทรงจำ คนแรกที่เจ้ายักษ์ลืมตาตื่นมาเจอเป็นเด็กวัยประถม Hogarth Hughes (โฮการ์ธ ฮิวจ์) มิตรภาพชิ้นใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น...


เอาจริงๆเราไม่รู้จักเรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ด้วยว่ามีวินดีเซลอยู่ในเรื่อง (คนพากย์เป็นหุ่นยักษ์เนี่ยแหละ) ดูรอบแรกไปร้องไห้หนักมาก อิบ้าาาา ดูการ์ตูนแล้วร้องไห้เป็นเต่าเผาคืออัลลัยยย (ดูกับลูกด้วย 555) ตอนนี้ลูกเราอายุประมาณ 3 ขวบค่ะ เป็นอีกเรื่องเลยที่ลูกชอบมาก ถือกล่องดีวีดีมาขอดูแทบทุกวัน คือมันดีอะ เราเต็มใจเปิดให้ลูกดูวนไปเรื่อยๆพร้อมกับได้ข้อคิดใหม่ๆจากหนังเรื่องนี้ทุกวัน

ถ้าต้องเลือกระกว่าง ถูกต้อง กับ ถูกใจ อันไหนดี?


99.99% ถ้าให้พูดออกสื่อก็ต้องบอกว่า "ถูกต้อง" ดีกว่า "ถูกใจ" เหมือนที่บางครั้งเราต้องฝืนทำเรื่องที่ไม่ชอบใจเพราะมันคือความถูกต้อง... 
บริบทในปัจจุบันทำให้ตรรกะนี้ถูกหยิบมาโจมตีคนอื่น อ้างว่าเพราะคนอื่นทำสิ่งที่ "ไม่ถูกต้อง" เราเลย "มีสิทธิ์" ที่จะประณาม(?) หรือตักเตือน(?) ไม่ว่าจะในรูปแบบต่อหน้าหรือบนโซเชียลมีเดีย โดยลืมไปว่า "คนอื่น" ก็เป็น "คน" ที่มีบริบทในชีวิตไม่เหมือนกัน มีความจำเป็นต่างกัน และ "มีสิทธิ์" เลือกแสดงออกต่างกัน 

ย้อนกลับไปถามคำถามเดิมใหม่ 

"ถูกต้อง กับ ถูกใจ อันไหนดี?" 

หลายๆคนเริ่มสับสน อันนี้ไม่ว่ากัน เพราะในสังคมไทยเราตั้งแต่เด็กจนโต เราอยู่ในกรอบที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ ส่วนมากเราไม่มีสิทธิ์เถียง ไม่สามารถวิจารณ์ได้ยิ่งกับคนที่เป็นพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ เพราะจะถูกมองว่าก้าวร้าว ไม่ให้เกียรติ ไม่มีสัมมาคารวะ และจะถูกจัดให้เป็น "เด็กเลว" ที่สังคมพร้อมจะยี้ใส่ได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นการที่สังคมทุกวันนี้เป็นแบบนี้ ไม่ต้องไปโทษรัฐบาล ไม่ต้องบ่นหรอกว่าไทยแลนด์นี่แดนปากว่าตาขยิบ เพราะที่มันเป็นแบบนี้ เพราะทุกคนเอาแต่โทษคนอื่น สนใจสังคมรอบข้าง จนลืมที่จะสร้างสถาบัน "ครอบครัว" ให้เข้มแข็ง 

You don't have to be a gun. You are what you choose to be. You choose.
-Hogarth- 

ประโยคที่มาจากปากของเด็ก(แม้จะในการ์ตูน) มันทำให้เราจุกมาก เพราะเค้าพูดกับหุ่นยนต์ต่างดาวที่ไม่ทราบที่มา ไม่รู้จุดประสงค์ว่าถูกสร้างมาเพื่ออะไร แต่ที่แน่ๆคือหุ่นยนต์ตัวนี้มีปืนในตัว สามารถทำร้ายใครบนโลกนี้ก็ได้ แต่มันเลือกที่จะ "ไม่ทำ" โดยมีประโยค You are who you choose to be ของโฮการ์ธก้องอยู่ในหัว

"ความเชื่อใจ" ที่โฮการ์ธมีให้เป็นสิ่งสำคัญมากๆที่ช่วยให้หุ่นตัวนี้นึงตัดสินใจว่าเค้าจะเลือกทำอะไร ย้อนแยงกับบริบทอื่นๆในหนัง ที่ผู้ใหญ่ยัดเยียด "ความหวังดี" มาให้กับเด็ก บอกให้นอนเร็วๆ อย่ากินขนมเยอะ อย่ามัวแต่เล่นเกม ให้อ่านหนังสือ ฯลฯ แต่ไม่ได้ปลูกฝังว่าอะไรคือ "สิ่งที่ถูกต้อง" ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กทำ 
เด็กทำแล้วได้รับคำชม
ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำว่าคำสั่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่ "ถูกใจ" ผู้ใหญ่ต่างหาก 

การจะให้เด็กคนนึงมีจิตสำนึก รู้ว่าอะไร "ถูก" หรือ "ผิด" มันไม่ใช่การป้อนคำสั่งแล้วให้เค้าทำตาม แต่มันคือการแสดงให้เห็นว่าเค้าควร "รับผิดชอบ" ชีวิตของตัวเองยังไงบ้าง ปล่อยให้นอนดึก ตื่นสาย ขาดเรียนไปเลยก็ได้ แล้วสอนเค้าว่าการรับผิดชอบต่อหน้าที่ต้องทำยังไง 
จะนอนดึกก็ได้ ถ้าไปเรียนทัน
จะไม่ไปเรียนก็ได้ ถ้าหาเงินใช้จ่ายเองไหว
จะกินอะไรก็ได้ถ้าตอนเจ็บป่วยมีเงินรักษาตัวเอง 

ถ้าเด็กทำไม่ได้ "สอน" ให้เค้าทำด้วยตัวเอง ไม่ใช้ "ป้อน" ชุดความคิดของตัวเองลงไป ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถึงจะถูกต้อง โดยเอาสิ่งที่ถูกใจตัวเองเป็นที่ตั้ง 

"สอน" ให้เค้ารับผิดชอบตัวเองให้ได้ หยุดวิจารณ์ว่าสิ่งที่เด็กทำมันผิด มันไม่ถูก มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ "ฟัง" ว่าทำไมเด็กเลือกทำแบบนี้ แล้ว "ถาม" เพื่อให้เค้าคิดได้ อย่าเอาแต่ "สั่ง" 

"สอน" ให้เค้ารู้ว่ามันไม่มีใครทำสิ่งที่ถูกต้องได้ 100% ทุกคนมีสิทธิ์พลาด พ่อแม่เองก็เช่นกัน กล้าพูดคำว่าขอบคุณ และขอโทษกับลูกให้มากๆ เพื่อให้เค้ารู้ว่าคนเราต้อง "เคารพซึ่งกันและกัน" ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายนึงถืออีโก้อยู่แค่เพราะอายุมากกว่า แค่เพราะเป็นพ่อแม่ แต่เพราะทุกคนเป็น "คน" เหมือนกัน 

วันเวลามันไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าใครจะไปก่อน ไปหลัง แต่การที่ไปแล้วทิ้งผลิตผลพังๆ ก็ไม่น่าแปลกที่สังคมจะพัง ตรรกะจะป่วยแบบทุกวันนี้ เพราะเด็กในวันนั้น โตมาโดยไม่ฟังเสียงตัวเอง ฟังแต่เสียงคนรอบข้าง เดินไปตามน้ำ ซึ่งไม่ใช่ทุกสายที่จะไปออกทะเลหรือมหาสมุทร มันอาจจะลงเหวลงคลองไปเลยก็ได้ เพราะมีความเชื่อว่าต้องเดินตาม "สิ่งที่ถูกต้อง" ของสังคมโดยลืมปลูกฝังให้รู้จักตัวเอง ให้คิดเองได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง 

ตัวผู้เขียนเอง ก็ไม่มีคำตอบให้คนอื่นหรอกเวลามีคนมาถามว่า "อันไหนดี?" เพราะบางที สิ่งที่ดีกับเราอาจจะไม่ดีกับคนอื่นก็เป็นได้ 
ไม่ว่าใครจะเลือกทำอะไร เราจะไม่ไปตัดสินเค้าว่าถูกหรือผิด
เราทำได้แค่บอกเล่าความคิดเห็นส่วนตัวออกมา ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อย่างทุกบทความในบล็อกนี้ก็เป็นเพียงส่วนนึงของความคิดเราในขณะนั้น ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา กับอายุที่มากขึ้น ปัจจุบันความคิดเห็นนั้นอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้? 

คำแนะนำต่างๆฟังไว้ เก็บไว้ แล้วสุดท้าย ก็ you choose...

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

อ่านจบแล้วอยากฝากคอมเม้นอะไรบ้าง?